ลิเวอร์พูล ทำภารกิจสำคัญในศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ได้สำเร็จในขั้นตอนแรก ด้วยการทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ หลังจากเฉือนหวิว มอนเตอร์เรย์ 2-1 ทำให้พวกเขาเดินหน้าเตรียมสร้างประวัติศาสตร์ในการชูโทรฟี่รายการนี้เป็นครั้งแรกของสโมสร
แมตช์นี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้ส่งผู้เล่นตัวหลักลงสนามเป็น 11 คนแรก โดยเฉพาะในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก ที่จำเป็นต้องส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงไปเล่นเป็นกองหลังตัวกลางคู่กับ โจ โกเมซ เนื่องจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มีอาการป่วยเล่นงาน
สำหรับผลงานของผู้เล่นตัวจริงในเกมนี้ดูเหมือนยังไม่ค่อยถูกใจ คล็อปป์ มากนัก โดยเฉพาะ ดิว็อค โอริกี้ ที่เล่นไม่ค่อยดีเลย ในขณะที่สองผู้เล่นสำรองซึ่งปกติเป็นตัวจริงอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โชว์ให้เห็นถึงความแตกต่างเมื่อพวกเขาลงสนาม และมีส่วนสำคัญนำชัยชนะในแมตช์นี้
ในส่วนของนัดชิงที่ต้องพบกับ ฟลาเมงโก้ ถึงเป็นการรีแมตช์การแย่งโทรฟี่สโมสรโลกของทั้งสองทีม หลังจากที่เคยปะทะกันมาแล้วเมื่อปี 1981 ในชื่อศึก "โตโยต้าคัพ" หรือ "ชิงแชมป์สโมสรโลก" และบทสรุปเป็นยอดทีมแห่งบราซิลที่ทุบ "หงส์แดง" ไปแบบสบายๆ
1. แนวรับสุดประหลาด
เห็นรายชื่อ 11 ตัวจริงที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดลงเล่นในแมตช์นี้ต้องบอกเลยว่าน่าใจหายใจคว่ำจริงๆ เมื่อเห็นชื่อคู่เซนเตอร์แบ็กได้แก่ โจ โกเมซ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน !! เพราะแค่ โกเมซ คนเดียวสาวก "เดอะ ค็อป" ก็สั่นสะเทือนแล้ว มาเจอชื่อ "เฮนโด้" สวมบทกองหลังจำเป็นยิ่งปวดตับ
เหตุผลสำคัญที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน จำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มีอาการป่วยทำให้พลาดลงสนาม ขณะที่รายชื่อเซนเตอร์แบ็กชุดใหญ่ในเวลานี้ก็ไม่มีเหลือแล้วทั้ง โฌแอล มาติป และ เดยัน ลอฟเรน ก็อยู่ในช่วงที่ต้องพักฟื้นร่างกายจากอาการบาดเจ็บ
แถมยังมีการดร็อป เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และใช้งาน เจมส์ มิลเนอร์ ในตำแหน่งแบ็กขวา ยิ่งทำให้เกมรับของ ลิเวอร์พูล ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่เห็นพวกเขาต้องเจอเกมรุก มอนเตอร์เรย์ ไล่กดดันจะระส่ำระส่ายอยู่บ่อยๆ
ในกรณีของ กัปตันเฮนโด้ยังพอเข้าใจได้ เพราะถูกขอให้ลงมาทำหน้าที่เป็นกองหลังจำเป็น แต่ในส่วนของ โกเมส ต้องบอกว่ายังน่าผิดหวังเพราะมีประสบการณ์ในตำแหน่งนี้เยอะมาก แต่ไม่ได้ช่วยทำให้เจ้าตัวทำผลงานได้ดีเลย โดยเฉพาะกับการรับมือกับ โรเคลิโอ ฟูเนส โมริ และโชคดีมากๆ ที่เจ้าตัวไม่โดนใบแดงจากการดึง ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์
งานนี้หาก ลิเวอร์พูล มีปัญหาผู้เล่นเซนเตอร์แบ็กบาดเจ็บอีก คล็อปป์ คงต้องคิดหนักในการจะเลือกใครลงทำหน้าที่นี้ และนี่อาจจะเป็นการบ้านให้เขาต้องขบคิดในการหากองหลังตัวกลางเพิ่มอีกซักคนในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมที่จะถึงนี้
2. เกอิต้า กำลังคืนฟอร์ม
สำหรับตอนนี้ นาบี เกอิต้า น่าจะเป็นผู้เล่นตัวหลักในแดนกลางของ คล็อปป์ ช่วงเวลานี้ เพราะเขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมากๆ ในช่วงที่ผ่านมา และในแมตช์ปะทะกับ มอนเตอร์เรย์ เจ้าตัวได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพชั้นยอดที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ "หงส์แดง" ในช่วงเวลานี้
ก่อนหน้านี้ ดาวเตะทีมชาติกีนี มีโอกาสได้ลงตัวจริง 2 เกมและยิงได้ทั้งสองแมตช์ (ชนะ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก และ บอร์นมัธ) แมตช์นี้เจ้าตัวได้รับโอกาสสำคัญจาก คล็อปป์ ให้ทำหน้าที่บัญชาเกมแดนกลางเนื่องจาก "เฮนโด้" โดนขยับลงไปเล่นเซนเตอร์แบ็ก ขณะที่ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม ยังมีปัญหาบาดเจ็บ
งานนี้ เกอิต้า ไม่ทำให้แฟนบอล "หงส์แดง" ต้องผิดหวังเมื่อโชว์ฟอร์มได้บรรเจิดแจ่มจรัสโดยจังหวะช่วยให้ทีมขึ้นนำ เป็นการประสานงานอย่างสุดยอดกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าไปส่งบอลซุกก้นตาข่ายสบายๆ ขณะเดียวกันตลอดทั้งเกมยังทำหน้าที่ในแดนกลางได้ดีแทบไม่มีข้อผิดพลาด
ที่สำคัญเจ้าตัวมีโอกาสยิงประตูหลายครั้ง โดยเฉพาะในครึ่งหลังเมื่อหลุดเข้าไปในเขตโทษแต่แตะบอลไม่พ้นมือของ มาร์เซโล่ บาโรเวโร่ นายด่านมอนเตอร์เรย์ แน่นอนว่าฟอร์มของ เกอิต้า ในเวลานี้จำเป็นอย่างมากสำหรับ "เดอะ เร้ดส์" ในการไล่ล่าความสำเร็จในฤดูกาลนี้
3. เทรนต์ ยิ่งโตยิ่งเก่ง
พูดกันแบบตรงๆ ไม่มีกั๊ก เกมนี้ คล็อปป์ ไม่ได้ติดประมาทในการพบกับคู่แข่งจากเม็กซิโก แต่เหตุผลสำคัญที่เขาไม่ส่ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพราะต้องการให้นักเตะได้พักอย่างเต็มที่ จะได้พร้อมสำหรับการเล่นรอบชิงชนะเลิศ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ
อย่างไรก็ตามการที่ "หงส์แดง" มีเกมรุกที่ติดๆ ขัดๆ เนื่องจากแนวรับ มอนเตอร์เรย์ ไม่ยอมขึ้นมากนัก ทำให้การพยายามเจาะตรงกลางไม่สำฤทธิ์ผลมากนัก ในขณะที่การเปิดจากริมเส้นทั้งสองฝั่งก็ขาดประสิทธิภาพโดยเฉพาะการเติมเกมบุกของ มิลเนอร์ ในฐานะแบ็กขวา แทบไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
สุดท้าย คล็อปป์ จำเป็นต้องหาจุดเปลี่ยนในเกมรุก ทำให้ตัดสินใจต้องส่ง "เจ้าหนูเทรนต์" ลงสนามในช่วง 15 นาทีสุดท้าย และก็เป็นผลจริงๆ เมื่อเขาเติมเกมบุกจากกราบขวาได้อย่างต่อเนื่อง และมีทีเด็ดในจังหวะการเปิดบอลที่ทำให้เกมรับ มอนเตอร์เรย ต้องหวาดหวั่น
ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ หากเป็นนักเตะทั่วๆ ไปการได้บอลบริเวณใกล้ๆ กรอบเขตโทษในช่วงกำลังจะหมดเวลาคงร้อนรนรีบโยนบอลเข้าไปที่หน้าประตู แต่เซนต์ลูกหนังของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เหนือชั้นยิ่งกว่านั้นเมื่อเขาเลือกเปิดบอลเลียดไปให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่แตะบอลสบายๆ เป็นประตูชัย
จังหวะนั้นเป็นการทำแอสซิสต์ครั้งที่ 20 ของ แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ จากการเล่นให้ทัพ "เดอะ เร้ดส์" ตลอดทุกรายการในปี 2019 ซึ่งถือว่ามากกว่านักเตะคนอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว ฉะนั้นนี่คือจุดเด่นของ ลิเวอร์พูล ในยุค คล็อปป์ อย่างแท้จริง
4. อลีสซง เหนียวหนึบเซฟชัยให้ทีม
ถ้าหากใครก็ตามที่ยังคงสงสัยว่า อลีสซง เบ็คเกอร์ คือผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดในโลก สองแมตช์ล่าสุดแสดงให้เห็นแล้วว่าทำไม นายทวารทีมชาติบราซิล ถึงมีค่าคู่ควรสำหรับคำยกย่องสรรเสริญ
ก่อนหน้านี้ในเกมพรีเมียร์ลีก ที่ชนะ วัตฟอร์ด เมื่อวันเสาร์ เจ้าตัวก็โชว์ความเหนียวหนึบ แต่ในแมตช์กับ มอนเตอร์เรย์ ขอบอกเลยว่า โกลเลือดแซมบ้า ทำผลงานได้ดียิ่งกว่านั้นอีก และทำให้ทีมรอดจากการเสียประตูไปหลายต่อหลายครั้งจริงๆ
อลีสซง ช่วยเซฟในจังหวะสำคัญหลายครั้งในครึ่งแรก โดยเฉพาะลูกยิงไกลนอกกรอบเขตโทษของ ดอร์ลาน ปาบอน ที่เขาพุ่งปัดออกไปหวุดหวิด ขณะที่ครึ่งหลัง อลีสซง ยังโชว์ซูเปอร์เซฟจากการซัดฟรีคิก 25 หลาของ ปาบอน ซึ่งเจ้าตัวโชว์ลีลาเหินหาวบินปัดบอลออกไปได้อย่างสุดยอด
นอกจากการป้องกันบริเวณหน้าประตูแล้ว อลีสซง ยังแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วในการพยายามช่วยแนวรับด้วยการวิ่งออกมาตัดบอลอยู่บ่อยๆ ฉะนั้นในเกมนัดชิงกับ ฟลาเมงโก้ หากนายทวารหน้าหน้าดั่งเทพธอร์ ยังรักษาระดับความเหนียวหนึบแบบนี้ต่อไป งานนี้ "หงส์แดง" มีลุ้นที่จะคว้าแชมป์สโมสรโลกเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ทีม
ยิ่งไปกว่านั้นหาก อลีสซง ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดแบบนี้ต่อไปอีกซัก 2-3 ปีในถิ่นแอนฟิลด์ มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะแซงหน้า เรย์ คลีเมนต์ ในฐานะผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล
5. 38 ปีแค้นแก้ยังไม่สาย
การเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือจะเรียกในชื่อที่คุ้นเคยว่าศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ก็ได้ และนี่คือโทรฟี่แชมป์ที่ ลิเวอร์พูล ไม่เคยสัมผัสเลยจากการได้โอกาสลงชิงชัย 5 ครั้ง (ไม่นับรวมปีนี้) ทัพ "หงส์แดง" มีแต่คำว่าช้ำกับช้ำ
โดยเฉพาะในปี 1981 ลิเวอร์พูล มีโอกาสได้ลุ้นแชมป์รายการนี้ และปะทะกับ ฟลาเมงโก้ ซึ่งในเวลานั้นพวกเขามี ซิโก้ เป็นพระเอกชูโรงของสโมสร ขณะที่ "หงส์แดง" อุดมไปด้วยสตาร์ดังลูกหนังอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช, แกรม ซูเนสส์ และ บรูซ กรอบเบลาร์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ฟลาเมงโก้ แสดงให้โลกรู้ว่าฟุตบอลจากดินแดนต้นตำรับลูกหนังมันเหลือชั้นขนาดไหน โดยเฉพาะ ซิโก้ ซึ่งในเวลานั้นได้รับฉายาว่า "เปเล่ขาว" โชว์สเต็ปเทพจนนักเตะ "เดอะ เร้ดส์" กลายเป็นเด็กน้อย ก่อนที่ ยอดทีมบราซิล จะถล่ม ลิเวอร์พูล ไปเบาๆ สบายๆ 3-0
แม้ว่าในปัจจุบันการแข่งขันรายการนี้จะเปลี่ยนมาเป็นศึกฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ และมีการแข่งขันมากกว่าแค่การนำแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (ยูโรเปี้ยน คัพ) พบแชมป์โกปา ลิเบอร์ตาดอเรส คัพ มาสู้กันเท่านั้น แต่ศักดิ์ความยิ่งใหญ่ของรายการนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ "หงส์แดง" ปรารถนาที่จะนำมันไปประดับที่ตู้โชว์ในแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก
ที่สำคัญการได้ปะทะกับ ฟลาเมงโก้ ยิ่งทำให้พวกเขากระตืนรือร้นที่จะเอาชนะให้ได้ เพราะเป็นการลบบาดแผลที่สุดเจ็บปวดเมื่อ 38 ปีที่แล้ว....
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ คาสิโนออนไลน์
ศึกษาวิธีการใช้งานเว็บไซต์ คาสิโนออนไลน์
|