ในโลกมนุษย์มีชอยส์ที่บางครั้งทำให้เราต้องมาถกเถียงกันว่าแบบไหนดีกว่าไม่ว่าจะเป็น เป๊ปซี่ หรือ โค้ก, ลูกหมา หรือ ลูกแมว และ เปเล่ หรือ มาราโดน่า
การถกเถียงและเปรียบเทียบของ 2 สิ่งมักจะลงเอยด้วยการไร้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ทิ้งไว้แต่ความดุเดือดและข้อมูลดังเช่นในรายของ 2 นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
ในยุค 1970 เปเล่ สร้างชื่อเป็นนักเตะที่โลกยอมสิโรราบ ไม่มีใครคนไหนอาจหาญขยับเข้ามาใกล้ความเป็นสุดยอดของแข้งแซมบ้าผู้นี้ได้เลย
จนกระทั่งหนุ่มน้อยร่างเตี้ยตันที่ชื่อ ดิเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า ได้สัมผัสกับยอดหญ้าเป็นครั้่งแรก
มาราโดน่า เกิดในครอบครัวที่ยากจนและกล่าวได้ว่าสิ่งที่เยียวยาและเป็นศูนย์กลางของหลายๆครอบครัวในเวลานั่นคือ “ฟุตบอล”
มาราโดน่า และน้องชาย 2 คนเริ่มเตะบอลตั้งแต่วัยกระเตาะและเขาเริ่มฉายแววตั้งแต่อายุ 8 ขวบจนเตะตาแมวมองคนนึงสมัยเล่นให้ เอสเตรลล่า โรจา จนกระทั่งย้ายมาสังกัดทีมเยาวชนของ อาร์เจนตินอส จูเนียร์
อีก 4 ปีต่อมาด้วยวัย 12 ปีหนุ่มน้อยผมหยักศกได้โอกาสโชว์ทักษะในระหว่างพักครึ่งของเกมลีกสูงสุด นั่นเป็นครั้งแรกที่ มาราโดน่า ได้ทักทายโลกอย่างไม่เป็นทางการ
การบ่มเพาะฝึกปรือวิทยายุทธ์ของ มาราโดน่า ดำเนินไปอีก 4 ปีเต็มและวันที่ 2 ตุลาคม 1976 ในวัย 16 ปีเขาประเดิมเกมอาชีพอย่างเป็นทางการให้ อาร์เจนตินอส จูเนียร์ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นการ debut ก่อนอายุเต็ม 16 อยู่ 10 วันเลยทีเดียว
ในเกมนั้น มาราโดน่า ใส่เสื้อหมายเลข 15 ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองช่วงพักครึ่งและกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในลีกสูงสุดของ อาร์เจนติน่า
แม้จะแพ้คาบ้านต่อ เตลเลเรส เด คอร์โดบา แต่ไม่กี่นาทีหลังลงสนาม มาราโดน่า โชว์ความห้าวด้วยการ “จัดดาก” รุ่นพี่ที่แก่กว่าเกือบ 10 ปีอย่าง ฮวน โดมินโก้ คาเบรร่า จนทำให้จังหวะนี้เป็นหนึ่งในตำนาน “ดาก” ที่อีก 30 ปีต่อมา คาเบรร่า ได้ระลึกถึงมันได้อย่างแม่นยำ
“ผมอยู่ฝั่งขวาของสนามแล้วก็วิ่งไปบีบเขาแต่เขาไม่ไว้หน้าผมเลย เขาแตะลอดขาตอนผมพลิกตัวแล้วเขาก็ควบบอลหนีผมไปเลย”
ประตูแรกของ มาราโดน่า กับทีมชุดใหญ่ไม่ต้องรอนานมากนักเพราะในวันที่ 14 พฤศจิกายนก็ซัดประเดิมในเกมพบ มาร์พลาเทนเซ่
หนุ่มน้อยเจ้าของความสูง 165 ซม. เล่นให้ อาร์เจนตินอส จูเนียร์ อยู่ 5 ปีทำสถิติ 167 เกมยิง 115 ประตูก่อนย้ายไปซบโคตรทีมอย่าง โบคา จูเนียร์ส เมื่อปี 1981 ด้วยค่าตัว 4 ล้านเหรียญสหรัฐ
ตอนนั้น ริเวอร์เพลท อยากได้ มาราโดน่า มากถึงขนาดทำให้เขาเป็นนักเตะที่ได้รับค่าจ้างมากที่สุดในสโมสรแต่จนแล้วจนรอดเขาปฏิเสธเนื่องจากเจ้าตัวแสดงเจตจำนงว่า โบคา จูเนียร์ส เท่านั้นที่อยากเล่นให้
2 วันหลังเซ็นสัญญา มาราโดน่า ประเดิมลงเล่นนัดแรกให้ทีมใหม่ด้วยการยิง 2 ประตูถล่ม เตลเลเรส เด คอร์โดบา ทีมเดิมที่จัดดากไป 4-0
โบคา ประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ลีกและเป็นแชมป์ในประเทศเดียวของ มาราโดน่า ก่อนที่เขาจะย้ายไปเล่นให้ บาร์เซโลน่า ทันทีที่ฟุตบอลโลก 1982 จบลงด้วยค่าตัว 7.6 ล้านเหรียญ
ถ้าคุณเคยเห็น โรนัลดินโญ่ (2005) และ อังเดรส อิเนสต้า (2015) ได้รับปรบมือจากแฟนบอล เรอัล มาดริด ที่ซาติอาโก้ เบอร์เบว แล้วล่ะก็ ต้นตำรับคนแรกที่ได้รับเกียรติ ณ สนามแห่งนี้ไม่ใช่ใครครับเป็น มาราโดน่า คนนี้
ในปี 1983 รายการ โคปา เดลเรย์ ศึก เอลกลาซิโก้ มาราโดน่า กระชากบอลจากกลางสนามไปดวลเดี่ยวก่อนล็อกหลบ อากุสติน ผู้รักษาประตูแต่ความพิเศษอยู่ที่ตอนกำลังจะยิงในระยะเผาขนด้วยความนิ่งแกรอให้ ฆวน โฆเซ่ กองหลังเจ้าถิ่นสไลด์บล็อก “ลม” หว่างขาอัดกับเสาประตูแล้วค่อยยิงเข้าไปนี่แหละครับ
จุดเปลี่ยนที่กำลังรุ่งๆของ มาราโดน่า เกิดขึ้นหลังข้อเท้าหักจากการเข้าบอลสุดน่าเกลียดของ อันโดนี่ กอยโคเชีย ของ แอธ. บิลเบา ทำให้มีกระแสว่าอาจจบชีวิตการค้าแข้งของแข้งฟ้าขาวตั้งแต่อายุ 23 ได้เลย
แต่จากการดูแลจากทีมแพทย์เป็นอย่างดี มาราโดน่า กลับมาลงสนามได้ในอีก 3 เดือนต่อมา
อย่างไรก็ตามความแค้นที่สะสมมาระเบิดขึ้นเมื่อ “เสือเตี้ย” โคจรกลับมาพบกับ แอธ. บิลเบา ในศึก โคปา เดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาลถัดมา
มาราโดน่า ถูก กอยโคเชีย และพวกพ้องตามเก็บเกือบตลอดทั้งเกมจนเป็นแผลเหวอะที่ขา, การถูกแฟนบอล บิลเบา ตะโกนเหยียดเชื้อชาติทั้งตัวเองและพ่อที่เป็นชาวอเมริกัน
เกมนี้มีการเตะติดดาบ หวดไม่ยั้ง ใครเก็บบอลไว้กับตัวนานเกิน 1 วินาทีมีสิทธิ์ขาขาดได้ในขณะที่ผู้ตัดสินก็ปล่อยให้เกมไหลลื่นเกินไปจนเกิดความรุนแรงสะสมจนกระทั่งสิ้นสุดเสียงนกหวีดเป็น บิลเบา ที่คว้าแชมป์ด้วยสกอร์ 1-0
จุดเริ่มต้นของความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของวงการฟุตบอลอาชีพเมื่อ มิกูเอล โซล่า มีปากเสียงกับ มาราโดน่า ที่ตอนนั้นระเบิดความแค้นออกมาด้วยการเฮดบัตแล้วศอกผู้เล่น บิลเบา คนนึงก่อนกระโดดเข่าลอยใส่แข้งอีกคนที่อยู่ในชุดวอร์มจนนอนแน่นิ่งมือหงิก
ตอนนี้ มาราโดน่า กลายเป็นศูนย์กลางของการรุมยำตีนจากฝั่ง “แชมป์โคปา เดลเรย์” โดยโจทย์เก่า กอยโคเชีย กระโดดถีบเข้า “ยอดอก” จนเพื่อน “บาร์ซ่า” ต้องมาช่วยรุมกลับ ทุกอย่างวุ่นวายไม่สามารควบคุมได้ในสนามมีทั้งผู้เล่น, สต๊าฟ, แฟนบอล, เจ้าหน้าที่สนามและช่างภาพ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้า ฆวน คาร์ลอส กษัตริย์แห่งสเปนและแฟนบอล 100,000 คนในสนาม ซาติอาโก้ เบอร์นาบิว รวมถึงคนอีกครึ่งค่อนประเทศที่รับชมทางโทรทัศน์
นี่คือเกมสุดท้ายที่ มาราโดน่า เล่นให้ บาร์เซโลน่า ก่อนถูกขายให้ นาโปลี ในราคา 10.48 ล้านเหรียญ (หากคิดตามค่าเงินปัจจุบันจะอยู่ที่ 305 ล้านปอนด์)ทิ้งไว้เพียงสถิติยิง 38 ประตูใน 58 เกมที่ลงเล่นให้ทีมเลือดหมู
“เมื่อผมเห็นภาพเหตุการณ์วิวาทของ มาราโดน่า และความโกลาหลในสนาม ผมรู้ได้ทันทีว่่าเราไม่ขอไปต่อกับเขาอีกแล้ว” ผู้บริหารคนหนึ่งของ บาร์เซโลน่า ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องยุติความสัมพันธ์กับเพลย์เมคเกอร์ร่างเตี้ยผู้นี้เอาไว้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น
ฝันร้ายของ มาราโดน่า ถูกเข้ามาแทนที่เมื่อวันที่ 5 กรกฏาคม 1984 ด้วยการต้อนรับจากชาวเนเปิ้ลที่แห่มาร่วมพิธีเปิดตัวที่สนาม ซาน เปาโล ถึง 75,000 คน
มันเป็นอะไรที่เกินคาดหมายสำหรับทีมเล็กๆ เมืองที่ถังแตกแต่กลับเซ็นสัญญานักเตะด้วยค่าตัวแพงที่สุดในโลก (ณ เวลานั้น)
การมาของ มาราโดน่า เขย่าเมือง นาโปลี ถึงขนาดที่ว่าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกล่าวไว้ว่าแม้จะไร้ เทศมนตรี, บ้าน, โรงเรียน, รถบัส, การจ้างงาน หรือสุขาภิบาล ก็ไม่ใช่สาระสำคัญใดๆเพราะตอนนี้เรามี มาราโดน่า แล้ว”
ชาว เนเปิ้ล ไม่ได้คาดหวังว่า มาราโดน่า จะนำแชมป์อะไรมาสู่เมืองเพราะต้องยอมรับว่า ณ เวลานั้น กัลโช่ มีเจ้าพ่อคอยผลัดกันเชยชมอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น เอซี มิลาน, ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ โรม่า
ไม่มีใครมีศักยภาพพอจะท้าชน 4 ผู้ยิ่งใหญ่และ นาโปลี เป็นเพียงทีมเล็กๆที่เป็นไม้ประดับให้ครบ 18 ทีมใน กัลโช่ เท่านั้น
ตู้ประดับถ้วยแชมป์ของสโมสรก็เหงาหงอยมีแค่โทรฟีย์บอลถ้วย 2 รายการเท่านั้น
พวกเขาไม่เคยสัมผัสกับ สคูเด็ตโต้ แม้แต่ครั้งเดียวและจะพูดให้กว้างกว่านี้ก็คือในประวัติศาสตร์ไม่มีตัวแทนจากแดนใต้เคยอาจเอื้อมเปิดซิงแชมป์ลีกสูงสุดมาก่อนเลย
บารมีของ มาราโดน่า เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวัยเพียงแค่ 24 ปีเมื่อ จูเซปเป้ บรูสโคล็อตติ ที่ค้าแข้งมาตั้งแต่ปี 1972 ยอมสละปลอกแขนกัปตันทีมให้ “เสือเตี้ย”
จุดพีคของ มาราโดน่า เกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อมาเมื่อพา “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า เบียดเอาชนะ เยอรมัน 3-2 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 ที่ เม็กซิโก
แต่ไฮท์ไลท์ที่ถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้มาจากความมหัศจรรย์ และ ความอื้อฉาวของ มาราโดน่า ทั้ง 2 เหตุการณ์ในเกมเดียวกัน
ใช่ครับ มันเป็นเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับอังกฤษ ในขณะที่สกอร์ 0-0 จุดเปลี่ยนช็อกโลกก็เกิดขึ้นเมื่อดาวเตะ อาร์เจนไตน์ พยายามเลี้ยงฝ่าด่านฝูงแนวรับ “สิงโตคำราม” ตรงหน้าเขตโทษก่อนเลือกจะทำชิ่ง 1-2 กับ ฮอร์เก้ บัลดาโน่ ที่จับบอลลั่นแต่กลายเป็นโชคดีเมื่อ สตีฟ ฮ็อดจ์ พยายามจะสกัดลูกนี้จนกลายเป็นโด่งย้อยไปหน้าประตูตัวเอง
มาราโดน่า โฉบตัดหน้า ปีเตอร์ ชิลตัน ที่ออกมาคว้าลมเข้าประตูไปหน้าตาเฉย!!
ชิลตัน สูง 183 ซม. แถมสามารถใช้มือได้เสียท่า มาราโดน่า ที่สูงเพียง 165 ซม.
ใช่แล้วครับมันคือ Hand of God หรือ “หัตถ์พระเจ้า” อันโด่งดังที่ มาราโดน่า ให้สัมภาษณ์จนนำมาซึ่งความบาดหมางระหว่าง 2 ชาติและเป็นที่พูดถึงจนทุกวันนี้
แม้ลูก 1-0 จะมาจากการเล่น “ไม่ซื่อ” แต่อีก 4 นาทีต่อมา “เสือเตี้ย” ได้คายศักยภาพตัวเองออกมาอย่างเต็มที่และเป็นที่โลกโจษจันเมื่อกระชากลากเลื้อยตั้งแต่กลางสนามเลี้ยงหลบผู้เล่น อังกฤษ ถึง 5 คนรวมถึง ชิลตัน ผู้รักษาประตู
จนถูกยกย่องให้เป็น "Goal of the Century" หรือ ประตูแห่งศตวรรษ
ความร้อนแรงของ มาราโดน่า มาระเบิดอีกครั้งในเกมรอบรองชนะเลิศกับ เบลเยียม เมื่อทำคนเดียว 2 ประตูเอาชนะ 2-0 โดยลูกที่ 2 มาจากการโซโล่อีกครั้งแต่เป็น “มินิโซโล่” จากระยะใกล้เข้ามาอีกนิดที่ 35 หลาด้วยการลากหลบที่ยืนแน่นถึง 4 คนก่อนยิงยัดทะลุผู้รักษาประตู
แม้ในรอบชิงชนะเลิศกับ เยอรมันตะวันตก จะไม่มีชื่อทำประตูในสกอร์ไลน์ 3-2 แต่ไม่มีใครหยุดยั้งความยิ่งใหญ่จนคว้า โกลเด้น บอล หรือนักเตะยอดเยี่ยมไปจากเขาได้
เพลย์เมคเกอร์หมายเลข 10 มาต่อยอดช่วงเวลาที่ “พีคที่สุด” กับ นาโปลี ในซีซั่นใหม่ด้วยการคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้สมัยแรกให้สโมสรและนำคนใต้ชิงความยิ่งใหญ่มาจากชาวเหนือด้วยการเข้าป้ายเหนือ ยูเวนตุส 3 แต้มโดยที่ มาราโดน่า ทำไปทั้งสิ้น 10 ประตูซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับคนเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์กับสไตล์การเล่นที่รัดกุมสุดๆของฟุตบอล อิตาลี ในสมัยนั้น
ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเมือง เนเปิ้ล เต็มไปด้วยสีฟ้า มีการจัดปาร์ตี้ตามท้องถนน ผู้คนออกมาร้องเล่นเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน นี่คือแชมป์ที่เหนือจิตนาการของคนที่นี่
ยังไม่พอ มาราโดน่า ยังปิดท้ายพา นาโปลี คว้าดับเบิ้ลแชมป์ด้วยการซิว โคปา อิตาเลีย จากการไล่ขยี้ อตาลันต้า 4-0
แม้ฤดูกาลต่อมา มาราโดน่า คว้าดาวซัลโวด้วยการยิงไป 15 ลูกในขณะที่เพื่อนร่วมทีมอย่าง กาเรก้า หอกทีมชาติบราซิลที่ย้ายมาใหม่กดไป 13 ประตูแต่ก็ไม่สามารถพา นาโปลี ป้องกันแชมป์ได้หลังถูก มิลาน ชิงเข้าป้ายไปแค่ 3 แต้ม
“อัซซูร่า” ยังอกหักรับบทพระรอง 2 ปีติด (1988-89) เมื่อเจอความโหดของ อินเตอร์ มิลาน ที่ชนะถึง 26 นัดจาก 34 เกมทิ้งห่างกระจุย 12 แต้ม
ไม่น่าแปลกใจครับหากเหลือบมองดูขุมกำลังของ “เนรัซซูรี่” ในปีนั้นมีทั้ง รามอน ดิอาซ,โลธาร์ มัทเธอุส, นิโคลา แบร์ตี้, จูเซปเป้ แบร์โกมี่, อันเดรส เบรห์เม่, วอลเตอร์ เซ็งก้า และ อัลโด้ เซเรน่า (ดาวซัลโวสูงสุด)
แต่ นาโปลี ยังมีโทรฟีย์ติดมือกลับบ้านหลังคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ ด้วยการเเปิดบ้านอาชนะ สตุ๊ตการ์ต 2-1 ในเลกแรกโดย มาราโดน่า และ กาเรก้า ยิงกันคนละประตูพลิกสถานการณ์จากตามหลังแซงเข้าป้ายและไปยันเสมอ 3-3 ในเลก 2
อย่างไรก็ตามสคูเด็ตโต้สมัย 2 ในรอบ 3 ปีก็กลับสู่เมือง เนเปิ้ล อีกครั้งเมื่อ มาราโดน่า ติดลมบนจากที่ฤดูกาลก่อนยิงไม่ถึง 10 ลูกมาซีซั่น 1989-90 กดเน้นๆ 16 ประตูเป็นรองแค่ มาร์โค ฟาน บาสเท่น ที่คว้าดาวซัลโวแค่ 3 ลูกเท่านั้น
นาโปลี เข้าป้ายคว้าแชมป์แบบฉิวเฉียดอีกครั้งเมื่อเบียด ”โคตรทีม” อย่าง มิลาน แค่ 2 แต้มโดยที่ปีนี้เองที่ “ปีศาจแดงดำ” ยิ่งใหญ่คว้าแชมป์ฟุตบอลยุโรป หรือชื่อว่า ยูโรเปี้ยน คัพ ในสมัยนั้นด้วยการเอาชนะ สเตอัว บูคาเรสต์ เละเทะ 4-0 โดยในรอบรองโหดสัสยิง เรอัล มาดริด 2 นัด 6-1
ความสำเร็จของ มาราโดน่า ได้รับการยกย่องจาก ฟรังโก้ บาเรซี่ และ เปาโล มัลดินี่ ว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเผชิญหน้ามา
อย่างไรก็ตามความสำเร็จในสนามของ “เสือเตี้ย” ในดินแดนมะกะโรนีสวนทางกลับชีวิตส่วนตัวที่เจ้าตัวยังใข้สารเสพติดโคเคนอย่างต่อเนื่องและถูก นาโปลี ปรับเงินมากถึง 70,000 เหรียญหลังขาดซ้อมและไม่ยอมมาแข่ง
มาราโดน่า ถูกแบนถึง 15 เดือนจากการตรวจหาสารเสพติดโคเคนไม่ผ่านแต่ความสำเร็จที่ มาราโดน่า สร้างไว้ตลอด 7 ปีกับ นาโปลี ก็เพียงพอที่จะได้รับเกียรติสูงสุดหลังสโมสรยกเลิกเบอร์เสื้อหมายเลข 10 เมื่อเขาโบกมือลาเมื่อปี 1992
ในวัย 32 ปี “เสือเตี้ย” ยังเนื้อหอมเมื่อ เรอัล มาดริด และ โอลิมปิก มาร์กเซย์ ให้ความสนใจแต่สุดท้ายเป็น เซบีญ่า ที่ได้ตัวไปซึ่งอยู่เล่นได้ปีเดียวด้วยสถิติยิง 5 ประตูจากการลงสนาม 26 เกม
ด้วยสภาพร่างกายที่โรยราไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม มาราโดน่า เล่นให้ นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ แค่ 5 นัดก่อนย้ายไปตายรังกับ โบคา จูเนียร์ส สโมสรจุดเริ่มต้นด้วยสัญญา 2 ปีในปี 1995
มาถึงบรรทัดนี้สิ่งนึงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ มาราโดน่า สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์เทาๆคนนึงที่ไม่มีขาวหรือดำจัด
สิ่งที่เขาทำเหมือนนักแสดงที่ให้ความสุขต่อผู้ชมในขณะที่หลังฉากอาจไม่สวยงามเหมือนที่เราเห็น
มาราโดน่า ได้จากไปในวัย 60 ปีพร้อมทิ้ง story และความมหัศจรรย์เอาไว้มากมาย
เราสามารถเลือกที่จะนำเอา “สีขาว” ของเขามาเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนชีวิตในทางกลับกันพยายามเลี่ยง “สีดำ” ที่ มาราโดน่า ได้แสดงให้เห็นทางอ้อมเช่นกันว่ามันมีผลตามมาในบั้นปลายอย่างไร
ด้วยความระลึกถึง ดิเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า 1960-2020
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ ทางเข้าUfabet
|