ปิดจ็อบได้อีกตามเคยสำหรับ ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ซึ่งออกไปทำศึก ยูโรปาลีก รอบ 16 ทีมนัดแรกกับ สปาร์ต้า ปราก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา และสามารถบุกไปคว้าชัยได้อย่างสวยสดงดงามด้วยการกำราบทีมดังของลีกเช็กได้แบบสบายเกือก 5-1 จ่อลอยลำเข้ารอบแปดทีมแบบแบเบอร์ แถมเพิ่มความฮึกเหิมให้พวกเขาเป็นล้นพ้นอย่างแน่นอนก่อนเปิดบ้านฟัดกับ แมนฯ ซิตี้ ทีมรองจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ซึ่งจะบุกมาเยือน แอนฟิลด์ ในวันอาทิตย์นี้โดยที่ว่ากันว่าเกมนี้อาจชี้ชะตาถึงการคว้าแชมป์ลีกเมืองผู้ดีได้เลย
1. สปาร์ต้า หมุนทีมสี่ตำแหน่ง
ไบรอัน พริสเก้ กุนซือ สปาร์ต้า ปราก ปรับโผตัวจริงทั้งหมดสี่รายเมื่อเทียบจากเกมในถ้วยใบนี้นัดล่าสุดที่พวกเขาเฝ้าบ้านยำใหญ่ กาลาตาซาราย สโมสรดังของลีกเติร์ก ได้อย่างขาดลอย 4-1
ในจำนวนนี้ โค้ชชาวเดนมาร์กตัดสินใจส่ง ลาดิสลาฟ เครจ์ซี ,มาร์คุส โซลบัคเค่น , เวลจ์โก้ บีร์มานเซวิช และ ยาโรสลาฟ เซเลนีย์ ออกสตาร์ตโดยสองขุนพลที่น่าจับตามองได้แก่ บีร์มานเซวิช กับ ลูคัส ฮาราสลิน ซึ่งยิงได้สี่ประตูเท่ากันในรายการนี้ของซีซั่นนี้
2. หงส์ได้ ซาลาห์ นั่งสำรอง
เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือทีม ลิเวอร์พูล ปรับทัพ 11 คนแรกสามรายจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปสยบ ฟอเรสต์ แบบหวุดหวิด 1-0 เมื่อสุดสัปดาห์
เกมนี้กุนซือด๊อยช์เลือกเก็บ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ , คอเนอร์ แบรดลีย์ และ บ๊อบบี้ คลาร์ก ไปนั่งข้างสนาม และใช้งาน จาเรลล์ ควานซาห์ , วาตารุ เอ็นโด และ ดาร์วิน นูนเญซ ออกสตาร์ต ขณะที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้สวมปลอกแขนกัปตัน
อย่างไรก็ดี หงส์แดง ได้ โม ซาลาห์ กองหน้าคนสำคัญที่เดี้ยงไปตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ.ฟิตกลับมาเป็นตัวสำรองก่อนเกมบิ๊กแมตช์ พรีเมียร์ลีก ต้อนรับ แมนฯ ซิตี้ ในวันอาทิตย์นี้
ขณะเดียวกัน ทีมเยือนเปลี่ยนโผตัวจริงในซีซั่นนี้จากทุกรายการมากถึง 230 รายแล้วเหนือกว่าทุกสโมสรใน พรีเมียร์ลีก ด้วยกัน และมากกว่า แมนฯ ซิตี้ ที่ปรับโผตัวจริง 179 รายทั้งสิ้น 51 ราย
3. เรื่องลูกโทษไว้ใจ แม็คก้า
ลิเวอร์พูล ส่อเค้ามีเส้นทางที่สดใสในถ้วยยุโรปอีกรายการเมื่อเกมผ่านไปได้แค่ 6 นาที แอสเกอร์ โซเรนเซ่น ดาวเตะเจ้าบ้านก็ออกลูกเฟอะฟะไปทำฟาวล์ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ จนเสียลูกโทษ และเป็นดาวเตะทีมชาติ อาร์เจนติน่า ที่รับบทสังหารไม่พลาดพา หงส์แดง นำเร็ว 1-0 และแน่นอนว่ามันทำให้ทีมจากเมืองผู้ดีเล่นกันได้ง่ายขึ้น และมีความมั่นใจเพิ่มพูนเช่นกันในฐานะอาคันตุกะ
สำหรับประตูนำ 1-0 ของทีมเยือนนับเป็นการยิงลูกโทษไม่พลาดเก้าจากสิบครั้งของกองกลางเลือดฟ้าขาวด้วยนับตั้งแต่เขาย้ายมาค้าแข้งในลีกอิงลิชโดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นสมัยเล่นอยู่กับ ไบรท์ตัน แปดประตู ก่อนมายิงลูกโทษเม็ดแรกในสีเสื้อของ หงส์แดง
หลังออกนำเร็ว ลิเวอร์พูล ก็เล่นได้อย่างจัดจ้านเช่นเคย และปิดเกมในครึ่งแรกได้อย่างเหนือชั้นด้วยการนำหน้า สปาร์ต้า ปราก ไปไกลลิบ 3-0 จากสองประตูของ ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งช่วงนี้กำลังท็อปฟอร์มสุดขีด
อย่างไรก็ดี แม็ค อัลลิสเตอร์ ถือเป็นนักเตะทีมเยือนที่โชว์ฟอร์มในเกมนี้ได้อย่างน่าประทับใจเช่นกันโดยก่อนถูกเปลี่ยนออกไปพัก ดาวเตะเลือกฟ้าขาวมีผลงานที่โดดเด่นเหลือหลายดังนี้
- สร้างโอกาสได้มากที่สุด (4) ขณะที่ยังอยู่ในสนาม
- เป็นนักเตะที่โดนทำฟาวล์มากที่สุด (3)
- ชนะการดวลสี่จากห้าครั้ง
- 1 ประตู 1 แอสซิสต์
- มีส่วนร่วมกับ 6 ประตูใน 6 เกมหลังทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น 26 นัด เขามีส่วนร่วมกับประตูแค่ 3 ลูกเท่านั้น
หลังโม่เกือกกันครบ 45 นาทีแรก แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล มีสถิติเหนือกว่าเจ้าบ้านทุกด้านทั้งการครองบอลที่มากกว่า 63:37% และได้สับไก 13 ครั้งเข้ากรอบ 5 ครั้ง ขณะที่ทีมดังของลีกเช็กได้ยิง 7 ครั้งเข้ากรอบ 4 ครั้ง
4. นูนเญซ เม็ดที่ 1,000
หลังจาก แม็ค อัลลิสเตอร์ สังหารลูกโทษให้ ลิเวอร์พูล นำหน้า ผ่านมาถึงนาทีที่ 25 ทีมเยือนก็หนีไปเป็น 2-0 จากฝีเท้าของ นูนเญซ ซึ่งสร้างชื่อยิงประตูที่ 1,000 พอดีให้กับ หงส์แดง ในยุคของ คล็อปป์
เท่านั้นไม่พอ ในช่วงทดเวลาของครึ่งแรก ดาวยิงทีมชาติ อุรุกวัย สร้างความฮือฮาตะบันประตูที่เด็ดขาดเพิ่มอีกให้ต้นสังกัดนำลิ่ว 3-0 รวมแล้วเป็นประตูที่ 16 ของเขาในทุกรายการของซีซั่นนี้ และเป็นการประกาศก้องว่าเขากำลังฮ็อตสุดขีดหลังจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดก่อนหน้านี้ก็ลุกจากม้านั่งสำรองไปทำประตูสำคัญในช่วงทดเวลานาทีสุดท้ายให้ทีมบุกไปเก็บสามแต้มสำคัญได้ในเกมชนะ ฟอเรสต์ แบบเฉียดฉิว 1-0
สำหรับประตูที่ 1,000 ของ เร้ด แมชีน ในยุคของ คล็อปป์ ซึ่งเพิ่มเป็น 1,003 แล้วหลังจบเกมที่ สตาดิโอน เลตนา มีไทม์ไลน์สำคัญๆดังนี้หลังจาก คล็อปป์ คุมทีมลงเล่นเป็นนัดที่ 476
1 : เอ็มเร่ ชาน
100 : อดัม ลัลลาน่า
200 : ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
300 : โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
400 : โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ (ยิงประตูตัวเอง)
500 : โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
600 : โม ซาลาห์
700 : ดีโอโก้ โชต้า
800 : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์
900 : โดมินิก โซโบซไล
1,000 : ดาร์วิน นูนเญซ
ขณะเดียวกัน นูนเญซ ซึ่งเช็กบิลได้สองเม็ดในเกมนี้มีส่วนร่วมกับการทำประตูของทีมในซีซั่นนี้เพิ่มเป็น 12 ประตูจาก 12 เกมแล้วนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ปี 2024 (ยิง 8 แอสซิสต์ 4) ซึ่งเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดานักเตะของ พรีเมียร์ลีก ด้วยกันเทียบเท่ากับ เควิน เดอ บรอยน์ สตาร์ทีม แมนฯ ซิตี้ เมื่อยึดจากระยะเวลาเดียวกัน
หลังเกมจบลงโดย หงส์แดง ชนะไปแบบมโหฬาร 5-1 มีการเผยสถิติออกมาว่าทุกครั้งที่พวกเขาเล่นเกมเยือนในถ้วยยุโรป และยิงได้ห้าประตู ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์จะได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศเสมอตลอดทั้งสามครั้งที่ผ่านมา
1976/77 ,28 ก.ย.1976 บุกชนะ ครูเซเดอร์ 5-0
2000/2001 , 16 พ.ค.2001 บุกชนะ อลาเบส 5-4
2017/18 , 14 ก.พ.2018 บุกชนะ ปอร์โต้ 5-0
สำหรับสถิติหลังจบ 90 นาทีเกมชนะ สปาร์ต้า ปราก มีการระบุออกมาว่า ลิเวอร์พูล ครองบอลได้ดีกว่าในสัดส่วน 63:37% และได้ส่องยิง 20 ครั้งเข้ากรอบ 11 ครั้ง ขณะที่เจ้าบ้านได้ซัด 11 ครั้งเข้ากรอบ 7 ครั้ง
5. พร้อมรบเรือใบสีฟ้า???
หลังบุกไปกำราบ สปาร์ต้า ปราก ได้ด้วยสกอร์ที่งดงามจ่อการันตีการเข้ารอบต่อไป ลิเวอร์พูล ก็สามารถสบายใจได้เป็นปลิดทิ้งก่อนทำศึกนัดสำคัญในเกม พรีเมียร์ลีก ต้อนรับการมาเยือนของ แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่าที่มีแต้มตามหลังพวกเขาแค่แต้มเดียวในวันอาทิตย์นี้
จากผลงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของ หงส์แดง แฟนบอล เดอะ ค็อป จึงสามารถตั้งความหวังกับทีมรักได้ไม่น้อยต่อการพยายามคว้าแชมป์ลีกในซีซั่นนี้แม้ เรือใบสีฟ้า จะมีศักดิ์ศรีเป็นแชมป์เก่า และมีฟอร์มที่น่ายำเกรงไม่น้อย หากแต่สถิติที่ผ่านมาดาวเตะทีมเงินถังเองยังยอมรับเต็มปากว่าการบุกมาเอาชนะที่ แอนฟิลด์ ไม่เคยเป็นงานที่ง่ายเลย
ขณะเดียวกัน ไม่เพียง หงส์แดง ยังบินสูงไม่เลิก แต่ถึงตอนนี้พวกเขาได้ บังโม หายเจ็บลงเล่นเป็นตัวสำรองกับ สปาร์ต้า ปราก ได้แล้ว และพร้อมลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมวันอาทิตย์นี้แน่ ขณะที่ นูนเญซ อยู่ในช่วงมั่นใจสุดขีด และกำลังยิงประตูได้อย่างคมกริบจึงทำให้ทีมของ คล็อปป์ ไม่เป็นรองทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างแน่นอน ประกอบกับเจ้าบ้านมี โดมินิก โซโบซไล ฟิตสมบูรณ์อีกรายจึงทำให้เจ้าบ้านมีขุมกำลังที่พร้อมต่อการท้าทายแย่งแชมป์ลีกไปจาก แมนฯ ซิตี้ อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ดี จุดที่น่าเป็นห่วงสำหรับ เร้ด แมชีน อาจเป็นเกมรับที่จำเป็นต้องเล่นให้รัดกุมมากขึ้นอย่างในเกมกับ สปาร์ต้า ปราก จะเห็นได้ว่า ควีวิน เคลเลเฮอร์ ต้องงัดความเหนียวออกมาเซฟช่วยทีมบ่อยเหมือนกันทั้งในครึ่งแรกและครึ่งหลังซึ่งแสดงให้เห็นว่ามือกาวทีมชาติ ไอร์แลนด์ เป็นขุนพลของทีมอีกรายที่กำลังเล่นได้อย่างท็อปฟอร์มสุดขีด และที่เสียประตูในเกมนี้ก็เป็นการสกัดบอลเข้าประตูตัวเองของ คอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็คขวาตัวสำรองด้วย
แน่นอนว่าเกมนี้ ลิเวอร์พูล อาจพัก ฟาน ไดค์ เอาไว้ก่อนเปลี่ยนลงไปแทน อิบราฮิม่า โกนาเต้ ที่บาดเจ็บช่วงต้นครึ่งหลัง แต่ไม่ว่า หงส์แดง จะจัดแผงหลังแบบไหน และจะมีกัปตันคนเก่งลงเล่นหรือไม่ เคลเลเฮอร์ ก็ต้องโชว์ซูเปอร์เซฟเป็นประจำเพื่อป้องกันไม่ให้ทีมเสียประตู และสำหรับ แมนฯ ซิตี้ เชื่อว่าพวกเขาจะไม่ทิ้งโอกาสทองบ่อยเหมือน สปาร์ต้า ปราก ดังนั้น คล็อปป์ จึงต้องกำชับนักเตะในจุดนี้ให้ดีหากไม่อยากเสียท่าให้กับ เรือใบสีฟ้า ในรังตัวเอง
จะอย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ อลิสซง ล้มเจ็บ เคลเลเฮอร์ ไม่ได้ทำให้แฟน หงส์แดง หนักใจกันอีกแล้วเนื่องจากหลายเกมที่ผ่านมาเขาทำหน้าที่ได้อย่างน่าประทับใจไม่แพ้ผู้รักษาประตูทีมชาติ บราซิล เลย แถมเป็นนายทวารที่ครบเครื่องมากที่สุดคนหนึ่งด้วยทั้งการยืนตำแหน่ง การอ่านเกม การตัดสินใจ และการเซฟลูกอันตรายที่น่าจะเป็นประตูแน่ๆได้หลายต่อหลายครั้งจึงเชื่อได้เลยว่าเกมบู๊กับ แมนฯ ซิตี้ ในวันอาทิตย์นี้ เจ้าบ้านต้องพึ่งพาความหนึบของ เคลเลเฮอร์ ไม่น้อยเช่นเดียวกับหลายๆเกมที่เขาสามารถป้องกันประตูให้ทีมได้อย่างน่าปรบมือให้
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ Ufa
|