ต้องยอมรับกันล่ะว่าหนังซอมบี้ที่เหมือนจะตายไปจากตลาดหลายรอบก็กลับมามีผลงานเด่น ๆ ได้เสมอ ด้วยความที่หนังซอมบี้เป็นพื้นที่ให้พูดเรื่องการเมืองและความฉ้อฉลโสมมของมนุษย์ได้ดีที่สุด และสำหรับประเทศเกาหลีใต้เองก็เคยส่ง Train to Busan หนังซอมบี้วิพากษ์การทำงานของรัฐบาลและพูดถึงสังคมเกาหลีในโบกี้รถไฟไปปูซานที่ดันมีซอมบี้หลุดเข้าไปในขบวนรถไฟแคบ ๆ สร้างความคึกคักให้หนังตระกูลซอมบี้ได้อักโข และคราวนี้ ฮยอนซังโฮ ผู้กำกับ Train To Busan ก็ไม่รอช้าที่จะสานต่อความสำเร็จด้วย Peninsula หนังซอมบี้โลกอนาคต Dystopia หรืออนาคตอันมืดหม่นมาลงตลาดในปีนี้
โดย Peninsula จะเล่าถึงช่วงเวลา 4 ปีหลังเหตุการณ์จาก Train to Busan โดยคาบสมุทรเกาหลีทั้งเหนือและใต้เต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อจนทางการต้องสั่งอพยพประชากรออกจากคาบสมุทรเกาหลี และหนึ่งในผู้รอดชีวิตที่กลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องก็ได้แก่ จองซอก (คังดงวอน) ทหารเกาหลีใต้ที่ไม่อาจรักษาชีวิตพี่สาวตัวเองไว้ได้ เขาจำต้องหอบความผิดบาปและพี่เขยที่แทบใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งไปวัน ๆ ไปยังฮ่องกงเพื่อเอาชีวิตรอด แต่แล้วก็มีเหตุให้ทั้งคู่ต้องกลับไปยังคาบสมุทรเกาหลีอีกครั้ง
โดยข้อเสนอจากนักเลงที่ฮ่องกงคือกลับยังเกาหลีเพื่อขับรถขนเงินมูลค่า 20 ล้านเหรียญกลับมาคืนพวกมัน โดยมีเงินส่วนแบ่งคนละ 2.5 ล้านเหรียญเป็นเงินรางวัล งานนี้จองซอกและพี่เขยพร้อมคนเกาหลีอีก 2 คนจำต้องกลับไปผจญเหล่าซอมบี้อีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้เกาหลีได้กลายเป็นเมืองผุพังที่มีมนุษย์น่ากลัวกว่าผู้ติดเชื้อเสียอีก แถมชะตากรรมยังทำให้จองซอกต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความผิดบาปในอดีตอีกครั้ง
หากจะให้จำกัดความ Peninsula ของฮยอนซังโฮก็คงต้องบอกว่ามันคือหนัง Mad Max ที่พยายามจะขายความดิบเถื่อนและความเสื่อมทรามของมนุษย์ แถมยังยืดอกรับเต็มปากว่าฉากแอ็กชันท้ายเรื่องตัวเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก Mad Max Fury Road เต็ม ๆ ส่งผลให้ซอมบี้กลายเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งที่พูดถึงความเสื่อมโทรมเน่าเฟะของมนุษย์และเป็นตัวเปรียบเทียบความน่ากลัวที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์และการพยายามเอาตัวรอดก่อให้เกิดความน่ากลัวต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะกีฬามนุษย์หนีซอมบี้ที่กลายเป็นความบันเทิงอำมหิตให้กับบรรดามาเฟียที่ตั้งตนเป็นใหญ่ในดินแดนเสื่อมโทรม
แต่กระนั้นการพลิกแนวของฮยอนซังโฮกลับกลายเป็นดาบ 2 คมอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในเมื่อหนังโปรโมตตัวเองให้อยู่ในตระกูลหนังซอมบี้และวางตัวเองเป็นภาคต่อ Train to Busan ดังนั้นตัวหนังเลยออกมาผิดความคาดหวังของคนดูแน่นอน งานนี้นอกจากตัวซอมบี้จะไม่ได้น่ากลัวหรือสร้างความตื่นเต้นและมีบทบาทสำคัญเหมือนหนังภาคแรกแล้ว การเป็นหนังภาคต่อก็ไม่ได้ต่อยอดประเด็นหรือชะตากรรมตัวละครที่คนดูให้ใจไปกับหนังภาคแรกอีกด้วย
แม้ตัวหนังจะมีประเด็นน่าสนใจไม่น้อยโดยเฉพาะการเอาเกาหลีมาเปรียบกับจีนในฐานะประเทศต้นทางของเชื้อโรคร้ายในโลกของหนังเทียบกับความเป็นจริง อีกทั้งยังมีฉากที่แสดงให้เห็นว่าคนเกาหลีก็ถูกรังเกียจและไม่มีใครรับเป็นผู้ลี้ภัยประหนึ่งจะโยงมายังวิกฤติ COVID-19 ให้ได้ แต่ประเด็นนี้ก็ถูกพูดถึงแบบผ่าน ๆ จนไม่เหลือความสำคัญต่อเรื่องเท่าใดนัก
แต่บาดแผลสำคัญที่เหวอะหวะยิ่งกว่าหนังหน้าของผีดิบก็คงหนีไม่พ้นการดีไซน์ตัวละครนี่แหละครับ โดยเฉพาะตัว จองซอก ของพระเอกหน้าหล่ออย่าง คังดงวอน ที่ไม่ได้สร้างความผูกพันธ์เหมือนคุณพ่อ กงยู จากหนังภาคแรกได้แม้แต่น้อย ด้วยการที่หนังเล่นนำเสนอภาพความอ่อนแอปวกเปียกในการช่วยเหลือพี่สาวและอาการเหม่อลอยแบบไม่มีที่มาที่ไป แถมยังพยายามขยี้ไอ้อาการบาปที่ติดตัวนี้อีก ทั้งที่คนดูก็ไม่ได้รู้สึกว่า อีตัวพี่สาวมันน่าช่วยเหลือตรงไหนเลยจนทำให้ประเด็นดราม่ามันน่ารำคาญมากไปหน่อย
หรือจะเป็นประเด็นครอบครัวที่พอจองซอกต้องกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่เขาเคยเพิกเฉยขับรถผ่านตอนพาพี่สาวและพี่เขยหนี ประหนึ่งจะให้เป็นโอกาสที่สองที่ทำให้เขาได้มาไถ่บาปก็ดูพังพินาศมาก แม้จะมีตัวละครสองพี่น้องที่ดูมีสีสันหน่อยก็เถอะ แต่ให้ตายสิ! ทั้งเรื่องนางจะขับรถชนซอมบี้แบบแทบไม่บุบสลายไปอย่างนี้ตลอดจริง ๆ เหรอ ไหนล่ะความน่ากลัว? ไหนล่ะฉากหนีตายซอมบี้? ไม่เหลืออะไรให้ลุ้นกันเลย
เว้ากันซื่อ ๆ เลย หากเราเข้าไปดู Peninsula แบบไม่คาดหวังว่ามันจะเป็นภาคต่อของ Train to Busan ก็อาจจะพอสนุกกับหนังไปได้นะครับ อย่างน้อยหนังก็มีฉากแอ็กชันตูมตามคอยมาเอ็นเตอร์เทนคนดูอยู่เป็นระยะ ๆ แต่พอหนังดันเอาชื่อ Train to Busan มาขายและพยายามเหลือเกินที่จะโยงให้มันเป็นภาคต่อกันทั้งที่จริงสิ่งเดียวเลยที่เชื่อมทั้งสองเรื่องก็แค่ต้นเหตุที่ทำให้เกาหลีเต็มไปด้วยซอมบี้เท่านั้นเอง แต่นอกนั้นมันคือหนังคนละม้วนกันเลย
สนับสนุนโดยเว็บไซต์ ดูหนังฟรี
|